ตอนที่ 51 ปรับความเข้าใจ
กินเวลานานเกือบชั่วโมงทีเดียวกว่าที่ชิงลี่จะสามารถหยุดร้องไห้ได้... แม้แต่ขณะนี้ที่นางมารน้อยใส่ยาให้เขานางก็ยังคงสะอึกสะอื้น น้ำตาร่วงหล่นลงดุจสายไข่มุก
“เจ้ามิต้องกังวลไป บาดแผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ข้าสกัดจุดห้ามเลือดเอาไว้แล้ว” ไป๋จิ้งกล่าวเสียงอ่อนโยน ทว่ากลับถูกอีกฝ่ายกลับตวัดตาที่ยามนี้บวมแดงค้อนทันควัน
“บาดแผลเล็กน้อยอะไรกัน! แล้วหากมันติดเชื้อเล่า จะทำอย่างไร” เธอตรวจแผลทั้งสองที่ของเขาดูแล้ว เห็นได้ชัดเจนว่าปากแผลทั้งลึกทั้งยาว เขาลงมืออย่างไม่ปราณีต่อตัวเองแม้แต่น้อย
ยังมีหน้ามาบอกว่าแผลเล็กน้อย!
นี่ยังดีที่เดี๋ยวนี้เธอพกทั้งยาพิษและยารักษาหลายขนานติดตัวตลอดเวลา ชิงลี่เม้มปากข่มกลั้นน้ำตาที่ทำท่าจะไหลลงมา ตั้งหน้าตั้งตาทำแผลให้ชายหนุ่มด้วยกลัวว่ายิ่งชักช้าเขาจะยิ่งรู้สึกเจ็บปวด
เธอจัดการถอดเสื้อเขาอย่างเบามือทว่าคล่องแคล่วรวดเร็ว
นางร้ายสาวเลือกพันผ้าขาวสะอาดที่แผลตรงหน้าอกของเขาก่อน เธอใช้ผ้าขาวสะอาดพันอ้อมรอบกายเขาสองสามรอบ แล้ววนกลับมาขมวดปมด้านหน้า จากนั้นจึงพันผ้าที่บาดแผลยาวตรงแขนเขาอย่างตั้งใจ
ไป๋จิ้งมองนางมารน้อยที่มีสีหน้าขึงขังจริงจังราวกับกำลังปฏิบัติภารกิจที่สำคัญที่สุดในชีวิตด้วยแววตาเอ็นดู แม้ผลงานที่ออกมาจะไม่ค่อยเรียบร้อย บาดแผลที่หน้าอกและที่แขนเขารู้สึกเจ็บคาดว่านางคงรัดแน่นจนเกินไป หากชายหนุ่มถูกไอกรุ่นหอมจากเรือนกายของนางโอบล้อมทั้งยังความอบอุ่นห่วงใยที่แผ่ออกมาจากร่างบางนั้นก็ให้รู้สึกดียิ่ง ไม่นึกขัดเด็กสาวที่กำลังสวมบทท่านหมอหญิงแม้แต่น้อย
เมื่อรัดแผลด้วยผ้าสะอาดเรียบร้อยแล้ว ชิงลี่จึงถอยออกมานั่งนิ่งใช้สองตาบวมแดงจ้องหน้าเขา สองสามีภรรยาต่างประสานสายตาไม่มีใครพูดอะไรต่อกัน ขณะนั้นไป๋จิ้งเองยังนึกไปว่านางจะคาดคั้นหาเรื่องกับเขาเสียอีก
หากทว่านางกลับขยับกายขึ้นมาเกยขึ้นบนตัวเขา แล้วจึงเอนตัวเข้าสวมกอดอย่างเช่นที่นางชอบทำ โดยพยายามหลีกเลี่ยงมิให้กระทบแผลตรงอกด้านซ้ายของเขา ท่านอ๋องหนุ่มนิ่งงันไปเล็กน้อยอย่างไม่ได้คาดคิด ก่อนจะคลี่ยิ้มบางเบาแล้วกระชับร่างเล็กบางเข้าแนบอกด้วยกิริยาแสนรักแสนทนุถนอม
ทั้งสองต่างเสพความรู้สึกของการได้อยู่ในอ้อมกอดของคนรักอย่างเงียบงัน นางร้ายสาวพริ้มตาหลับเพื่อฟังเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะมั่นคงของชายหนุ่ม แล้วเพิ่งรู้สึกตัวว่าเธอนั้นคิดถึงเขามากมายเพียงใด
“ไป๋จิ้ง” เธอเรียกเขาทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่ ฟังเสียงทุ้มตอบรับสั้นๆ ในลำคอ แรงสั่นสะเทือนทุ้มผ่านอกแกร่งของเขาจนเธอรู้สึกจั๊กจี้ที่ใบหน้าเล็กน้อย ทว่าเธอกลับชอบความรู้สึกนี้ยิ่ง
“ขอบคุณนะ ที่ไม่เป็นอะไร” นางร้ายสาวพูดด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความโล่งใจ
อันที่จริงตั้งแต่ที่เห็นกับตาว่าสามีผู้ที่แข็งแกร่งมั่นคงดุจภูผาอย่างเขาผุ้นี้ล้มหมดสติไปอย่างไม่ทราบสาเหตุในตอนนั้น หัวใจของเธอก็ราวกับถูกแขวนค้างเติ่งไว้บนยอดหอคอยแห่งความหวาดผวา
ยิ่งเมื่อได้ยินมู่อินบอกว่าทุกอย่างมันเป็นเพราะเธอนั้น ความรู้สึกผิดยิ่งบีบคั้นทรมานความรู้สึกในอกตลอดเวลา พอสายข่าวของอาต่งบอกว่าเขาคนนี้ยังคงปกติดี ใจเธอแทบไม่กล้าตั้งความหวังไว้มากเท่าที่ต้องการ
จากกันครั้งนี้ สี่เดือนราวกับสี่ปี...
“เจ็บหรือไม่” เธอใช้ปลายนิ้วไล้ผ่านผ้าพันแผลที่อกเขาอย่างแผ่วเบา ปากเอ่ยถามเสียงแผ่ว
“หากเทียบกับความรู้สึกตอนที่เจ้าทิ้งข้าไป นับว่าเทียบกันไม่ติด” ไป๋จิ้งเอ่ยอย่างจริงจัง น้ำเสียงเย็นเยียบเป็นนิจนั้นแฝงแววตัดพ้อลุ่มลึก
ชายหนุ่มเองมิใช่ไม่เจ็บปวดที่เห็นนางมารน้อยผู้ร่าเริงสดใสเสมอหดหู่หม่นหมองถึงเพียงนี้ เขาย่อมปรารถนาให้ใบหน้าของนางมีแต่รอยยิ้มเฉิดฉันประดับอยู่ กระนั้นเขายอมลงมือกรีดความรู้สึกของนางตอนนี้ ให้นางจำมั่นถึงผลลัพธ์ของการกระทำแต่ละครั้ง ดีกว่าให้นางตัดสินใจปล่อยมือเขาไปง่ายๆ อีกครั้ง
“เจ้ามีเหตุผลใดจึงออกจากวังเสวี่ยอวิ๋นไป แล้วเหตุใดจึงไม่ยอมกลับมาตามสัญญาสามเดือน” เขาคาดคั้นถาม การที่นางออกจากวังแล้วหายตัวไปนั้น เขาคาดเดาเอาไว้ว่าย่อมเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเทศกาล เขามั่นใจแปดในสิบส่วนด้วยซ้ำว่าเหตุผลของนางจะต้องเป็นไปเพื่อช่วยเขาและหานหนี่ว์
นางอาจจะมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้ นางอาจถูกกักขังหรือข่มขู่ด้วยอะไรบาง
กระนั้นเมื่อตามสืบร่องรอยผ่านอาต่งและคนของเขาที่แฝงตัวอยู่ในโรงเตี๊ยมเลี่ยงหวง เขากลับพบว่านางใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีอยู่ในคราบนางรำในเมืองหวาซุ่น ไม่มีท่าทีของผู้ที่ถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวแม้แต่น้อย
นั่นย่อมหมายถึงนางสมัครใจไม่กลับมาหาเขาเอง...
ชิงลี่ได้ยินถ้อยคำของชายหนุ่มดังนั้นก็ยิ่งเม้มปากแน่น
ทั้งเรื่องราวที่เธอได้รับรู้จากจอมพิษมู่อิน และสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเธอตลอดระยะเวลาที่จากกันนั้น ยังมีข่าวที่อาต่งได้รับมาว่าสามีของเธอจะเดินทางมาพร้อมกับว่าที่พระชายาเอกอะไรนั่นอีก ทำให้พอเธอได้พบเจอชายหนุ่มครั้งแรก อารมณ์ก็พลุ่งพล่านสับสนปนเปกันไปหมดจนแยกจริงแยกฝัน...แยกเหตุและผล...แทบไม่ออก
ในขณะที่เธอมองว่าสถานการณ์ล้วนแล้วแต่บีบคั้นกดดันเธอ เธอเองก็ไม่ได้คิดไปถึงว่าการกระทำอันลังเลสับสนของเธอจะบีบให้ท่านอ๋องต้องลงมือกับตัวเองโหดเหี้ยมปานนี้
“ข้าขอโทษ” เธอเอ่ยเสียงแผ่วอย่างยอมรับผิดแต่โดยดี แต่เดิมนางร้ายสาวก็ไม่ใช่คนที่ทิฐิหนาหรือหวงคำขอโทษกับคนที่ตัวเองรักและแคร์อยู่แล้ว ทำให้ไม่คิดจะแก้ตัวให้มากความ
ชิงลี่ก็ใช้เวลาอยู่ชั่วครู่กว่าจะทำใจบอกเหตุผลที่แท้จริงออกมาได้ ยังดีที่ไป๋จิ้งไม่ได้เร่งรััด เพียงรอคอยอย่างสงบ
“ข้า…ข้าไม่มั่นใจในตัวเอง” ไป๋จิ้งถึงกับเลิกคิ้วกับเหตุผลของภรรยาตัวน้อย ไม่มั่นใจในตนเอง? นางหมายถึงอันใดกันแน่
“ข้าไม่ค่อยเหมือนเดิม...ข้า...ข้ากลัวท่านจะชอบข้าน้อยลง!” สิ้นสุดประโยคอันเปิดเปลือยความรู้สึกส่วนลึกที่แสนน่าอายนี้ ชิงลี่ก็หลุบตาลงไม่กล้ามองอีกฝ่าย จึงไม่ทันได้เห็นใบหน้าตื่นตะลึงอันหาดูได้ยากของจิ้งอ๋องผู้เยือกเย็นดุจน้ำแข็ง
ข้ากลัวท่านจะชอบข้าน้อยลง...
ไป๋จิ้งหัวคิ้วกระตุกกับความคิดฟุ้งซ่านของเด็กสาว เหตุใดนางจึงคิดปว่าการเปลี่ยนแปลงใดๆ จะสามารถสั่นคลอนความรู้สึกที่เขามีต่อนางได้
ใช่ว่าเขาไม่สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของนางตั้งแต่พบกันในรอบสี่เดือนนี้ เขาสัมผัสได้ว่ารอบร่างบางของนางแผ่ไออันตรายเข้มข้น บนกายของนางก็ปรากฏรอยสักรูปดอกไม้สีแดงประหลาด ...ทั้งยังมีเจ้าอสรพิษดำตัวน้อยที่ขดตัวอยู่ใต้หมอนและแอบโผล่หน้ามาจ้องมองเขาเป็นระยะนั่นอีกเล่า!
แต่แรกเขาก็ตื่นตระหนกยิ่งนักที่เห็นอสรพิษร้ายอยู่บนเตียงเด็กสาว จึงคิดจะฆ่ามันอย่างเงียบๆ มิให้นางมารน้อยต้องตื่นตกใจ
ทว่าเมื่อย่างเท้าเข้าไปใกล้เขาจึงสังเกตเห็นว่าเจ้างูดำตัวนี้มันขดตัวอยู่ใต้มือของชิงลี่ ทั้งยังขยับเอาหัวถูไถมือเด็กสาวเป็นพักๆ อีกด้วย ไม่มีสัญญานว่าจะทำอันตรายลี่เอ๋อร์ของเขาแม้แต่นิดเดียว กลับมองดูแล้วคล้ายสุนัขที่กำลังนอนหลับเป็นสุขอยู่ข้างกายเจ้าของมากกว่า
เขาจึงถอยกลับมานั่งที่เดิม กระทั่งรอคอยจนนางตื่นจึงยิ่งมั่นใจมากขึ้นว่านางมารน้อยจะต้องเกี่ยวข้องผูกพันกับเจ้างูดำตัวนั้นเมื่อเห็นว่าพอนางลืมตาขึ้น จังหวะที่หันมาหาเขานางก็ใช้มือดันเจ้างูเข้าไปหลบอยู่ใต้หมอนใบนั้น
เขาเห็นทุกอย่างทว่าเมื่อนางเลือกที่จะยังไม่เปิดเผยเขาก็มิได้คิดถามขุดคุ้ยอันใด สนใจเพียงแต่ว่าเขาได้นางกลับคืนสู่อ้อมอกแล้วเท่านั้น
ทุกวันนี้เขายังแสดงออกไม่ชัดเจนอีกหรือว่าความรู้สึกที่ให้นางนั้นลึกล้ำหยั่งลึกเพียงใด? หรือบางทีในแผ่นดินนี้อาจจะมีนางเพียงผู้เดียวก็ได้ที่ยังไม่รู้ตัวว่าต่อให้นางต้องการเดือนดาวเขาก็จะหาทางไขว่คว้ามาร้อยเป็นกำไลประดับแขนให้นางจนได้
เขาทั้งรักทั้งหวงแหนนางถึงเพียงนี้ไยสมองน้อยๆ ของนางกลับไม่รับรู้!
ชิงลี่ที่ก้มหน้างุดเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไปนานจึงเงยหน้าขึ้นมองด้วยอยากรู้ว่าเขาคิดอย่างไร มิคาดว่าสายตากลับเห็นเงาดำวูบเข้ามา
ไม่ทันตั้งตัวก็พบว่าริมฝีปากของเธอถูกอสรพิษดำตัวใหญ่อาจหาญฉกชิงเข้าไปครอบครองเสียแล้ว!
ชิงลี่หวีดร้องในลำคอเมื่อชายหนุ่มที่อารมณ์สงบราบเรียบมาตลอดจู่ๆ ก็ฉกวูบมาที่ริมฝีปากเธอ จุมพิตของเขาในครั้งนี้ของท่านอ๋องรุนแรงยิ่งนัก ด้วยมันเต็มเปี่ยมไปด้วยความโหยหาทั้งยังเรียกร้องเอาแต่ใจ ต่างไปจากจูบครั้งก่อนๆ โดยสิ้นเชิง
เขาจุมพิตเธอครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่ออมมือหรือพักยกให้แม้แต่เสี้ยวนาที ราวกับต้องการจะดูดกลืนวิญญานของเธอไปด้วย นานหลายอึดใจทีเดียวกว่าชายหนุ่มจะยอมถอนริมฝีปากและเรียวลิ้นเจ้าเล่ห์เอาแต่ใจนั้นออกไป
นางร้ายสาวซึ่งผ่านการจุมพิตร้อนแรงและยาวนานที่สุดในชีวิตนั้นริมฝีปากอิ่มบวมแดง แววตาเชื่อมหวานแฝงแววเคลิ้มลอย จ้องมองเขาอย่างงุนงง ยังคงจับประเด็นอะไรไม่ได้ ไป๋จิ้งเห็นเด็กสาวเป็นดังนั้นให้พึงพอใจยิ่ง ริมฝีปากบางคลี่เป็นรอยยิ้มแฝงแววร้ายกาจ
เขาจะทำให้นางรู้ซึ้งว่าเขาไม่มีวันชอบนางน้อยลงเป็นอันขาด!
———————————————— nc —————————————————
ไป๋จิ้งก้มลงหาริมฝีปากหอมหวานดุจน้ำผึ้งของภรรยาตัวน้อยอีกครั้ง คราวนี้มือไม้ของเขายังเคลื่อนไหวปลดเปลื้องอาภรณ์บางเบาสำหรับนอนของนางให้ร่วงหล่นตามพื้นอย่างไม่แยแส จนกระทั่งร่างบางเปลือยเปล่าอวดผิวใสกระจ่างดุจหยกเนื้อดีอยู่ใต้ร่างเขา
ชายหนุ่มใช้ดวงตาวาววามจดจ้องนางมิให้พลาดสักรายละเอียด แม้แต่รอยสักรูปดอกไม้สีแดงงดงามที่พาดอยู่ตรงชายโครงด้านขวานั้น เมื่อถูกสายตาร้ายกาจคู่นั้นซอกซอนชิงลี่ก็รู้สึกร้อนรุ่มทรมานไปทั้งกายโดยเฉพาะตรงท้องน้อย ส่งผลให้ใบหน้านวลแดงปลั่ง แววตาเยิ้มราวเมาสุรา ทั้งยังหอบหายใจเข้าถี่อย่างควบคุมไม่ได้
ภาพนางมารน้อยเปลือยเปล่าบิดกายไปมาใต้ร่างของเขากระตุ้นความกระหายอยากจนใจของเขาเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง บรรยากาศรัญจวนอบอวลไปทั่วห้อง ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายสีเงินราวนักล่า เสียงทุ้มแหบพร่าพลันเอ่ยขึ้น
“ไหน ให้ข้าตรวจดูให้ละเอียดสิว่าเจ้าเปลี่ยนไปตรงที่ใดบ้าง”
ชายหนุ่มไม่รอฟังคำตอบ เริ่มจัดการเหยื่อโดยการไล้ริมฝีปากไปตามซอกคอสะอาดขาวผ่อง ก่อนจะไล่เรียวลิ้นร้อนเคลื่อนจากบนลงล่าง ชิงลี่สะท้านเยือกราวกับถูกเปลวไฟอันแสนสุขลวกผิวกาย ชายหนุ่มรู้จักร่างกายของนางมารน้อยดี เขาย่อมไม่พลาดจุดที่ไวต่อสัมผัสของนางทุกจุด
ชิงลี่ลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างที่ควรจะใส่ใจ เวลานี้หัวสมองเธอขาวโพลนเกินกว่าจะคิดคำนวนสิ่งใดออก ได้แต่บิดกายร้องครวญครางอย่างช่วยเหลือตนเองไม่ได้
ชายหนุ่มใช้ทั้งเรียวลิ้นและนิ้วมือเรียวยาวอันคล่องแคล่วชำนาญซุกซอนสำรวจไปทั่วร่างบางอย่างละเอียด แม้แต่ตรงส่วนใจกลางบุปผาชุ่มฉ่ำก็ยังมิอาจรอดพ้น ‘เครื่องมือตรวจ’ ของเขาไปได้
ชิงลี่จิกเล็บเข้ากับที่นอน กัดริมฝีปากแน่น ส่ายศีรษะไปมา
“อ๊า!”
นางร้ายสาวกรีดร้องออกมาเสียงดังเมื่อถูกชายหนุ่มใช้เรียวลิ้นกระตุ้นอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้จนอารมณ์เธอเตลิดไต่ไปถึงฝั่งฝัน
นางร้ายสาวหอบหายใจราวกับนักกีฬาที่เพิ่งเสร็จสิ้นแข่งขันอันดุเดือดมาหมาดๆ เมื่อผงกหัวขึ้นมอง จึงเห็นชายหนุ่มเงยศีรษะขึ้นมาจากใจกลางลำตัวเธอ
เขาถึงกับ...
เขาถึงกับใช้ล..ลิ้น!
“ลี่เอ๋อร์ เจ้ายังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง” ไป๋จิ้งเอ่ยหยอกเย้า ชิงลี่หน้าร้อนผ่าวราวกับโดนไฟเผา ยิ่งเมื่อเห็นเขาแย้มยิ้มมีเลศนัยพลางกล่าวด้วยริมฝีปากที่เพิ่งใช้ ‘ตรวจสอบ’ ให้เธอจนร้องแทบไม่เป็นภาษาอย่างหน้าตาเฉย
อ...ไอ้ท่านอ๋องบ้ากาม!
นางร้ายสาวที่อายจนนึกพาลชายหนุ่มนั้น ไม่คิดถามเขาว่าเหมือนเดิมของเขานั้นหมายความว่าอย่างไร รีบจัดท่าทางตัวเองให้อยู่ในความเรียบร้อย ก่อนจะเขวี้ยงค้อนให้เขาหนึ่งทีอย่างแง่งอน
ยังคุยกันไม่เรียบร้อยดีเลย เขากลับใช้มารยากับลิ้นเจ้าเล่ห์นั่นล่อลวงเธอจนสมองขาวโพลนไปหมด!
ท่านอ๋องหนุ่มเห็นนางมารน้อยทำท่าทีราวกับจะลุกขึ้นก็กระตุกยิ้มแฝงแววชั่วร้าย นางคิดว่าเพียงเท่านี้เขาจะพอใจแล้วงั้นหรือ?
นางยังมิทันได้รู้ซึ้งเลยว่าเขาหลงใหลในตัวนางลึกล้ำเพียงใด!
“กรี๊ด” ชิงลี่ร้องออกมาเสียงดังเมื่อจู่ๆ เธอที่กำลังจะลุกขึ้นก็ถูกเหวี่ยงกระชากกลับมาบนเตียง
ด้วยแรงกระแทกพอสมควรแม้จะไม่รู้สึกเจ็บแต่ก็ทำให้มึนงง เมื่อเงยหน้าขึ้นมองจึงเห็นชายหนุ่มที่เธอเพิ่งรับรู้ว่าเขาเป็นคนช่างแกล้งมากเพียงใดกำลังยิ้มยั่วเย้าเธออยู่
“ท่านอ๋อง ท่านจะทำอันใด เดี๋ยวก็กระเทือนแผลหรอก” นางร้ายสาวเอ็ดด้วยความโมโห
ไป๋จิ้งได้ยินดังนั้นจึงคลี่ยิ้มอ่อนโยนเมื่อเห็นว่าภรรยาตัวน้อยใส่ใจตนถึงเพียงนั้น เขาจึงค่อยๆ ก้มลงกระซิบข้างใบหูเล็กน่ารักของนาง
“ข้าเจ็บขึ้นมาแล้วจริงๆ รบกวนแม่นางช่วยรักษาข้าที”
ชิงลี่ใบหน้าขึ้นสีหน้าแดงก่ำขึ้นมาอีกรอบ เมื่อฟังจากน้ำเสียงแหบพร่าของเขาแล้วเธอก็พอจะรู้ว่าเขาหมายถึงการ ‘รักษา’ แบบใด ...วันนี้ท่านอ๋องพูดน้อยขี้อายที่แสนน่ารักของเธอหายไปอยู่ที่ไหน ทำไมเหลืออยู่แต่ท่านอ๋องบ้ากามคนนี้!
แต่จริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าไม่ชอบหรอกนะ แค่ยังไม่ชิน!
พลันนางร้ายสาวเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนเองอยู่ในสภาพเสียเปรียบมากเพียงใด เมื่อเธอเปลือยเปล่าทั้งตัวแต่เขากลับเสื้อผ้าอยู่ครบ ชิงลี่หรี่ตาลงอย่างหมายมาด ก่อนจะใช้มือดึงคนไข้ตัวโตลงมารักษาโดยการผายปอดอย่างตั้งอกตั้งใจ
มือน้อยแสนซนทั้งสองก็เริ่มทำงานปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเขาออกให้หมดเพื่อความเท่าเทียมกันของสิทธิชายหญิง
เมื่อร่างทั้งสองต่างเปลือยเปล่าเท่าเทียมกันดั่งที่ใจเธอต้องการแล้ว ชิงลี่ก็ไม่น้อยหน้าใช้ริมฝีปากน้อย ไล่จุมพิตไปทีละจุดเลียนแบบที่เขาทำให้เธอก่อนหน้านี้ จนเมื่อมาถึงจุดกึ่งกลางความเป็นชายซึ่งกำลังแผ่พลังความต้องการออกมาเต็มที่
เมื่อได้ยินเสียงครางต่ำในลำคอของสามี ชิงลี่ก็เผยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ และยิ่งตั้งหน้าตั้งตารักษาคนไข้ของตัวเองเต็มที่ไม่ปราณีผู้ป่วยแม้แต่น้อย จนในที่สุดชายหนุ่มก็มิอาจอดกลั้นอีกต่อไป เขาใช้มือแข็งแกร่งพลิกร่างนางไว้ด้านใต้แล้วจึงผสานหยินหยางเข้าด้วยกัน
“อ๊า!”
ชิงลี่ซึ่งถูกความเสียวแปล๊บตรงกึ่งกลางลำตัวจู่โจมกระทันหันนั้นเปล่งเสียงร้องออกมาอย่างสุดจะกลั้น นางร้ายสาวเผลอข่วนเล็บเป็นทางยาวที่แขนชายหนุ่มโดยไม่รู้ตัว ทว่าในเวลานั้นย่อมไม่มีใครสนใจบาดแผลเล็กน้อยอีกต่อไป
ไป๋จิ้งโถมกายเป็นจังหวะรุนแรงเน้นย้ำทุกการกระทำ เปรียบเทียบดูแล้วช่างต่างไปจากการร่วมรักครั้งแรกโดยสิ้นเชิง หากกลับค้นพบว่านี่ต่างหากคือสิ่งที่เขาและนางกำลังตามหาอยู่!
ท่วงทำนองรักอันรุนแรงถึงใจยิ่งกว่าครั้งใดหาได้นำมาซึ่งความเจ็บปวด หากทว่ากลับนำพาความเปี่ยมสุขหฤหรรษ์มาสู่ทั้งสองจนไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้
ทุกจัวหวะล้วนแล้วแต่เป็นการเคลื่อนไหวอันไร้ซึ่งการยับยั้งอารมณ์โดยสิ้นเชิง
กึ่งกลางของกายหยินหยาง นิ้วมือทั้งสิบ หรือแม้แต่สายตาทั้งคู่ต่างเชื่อมต่อสอดประสานกันแนบแน่นขณะที่ร่วมกันบรรเลงดนตรีอักหนักหน่วงนี้ ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่สามารถแยกพวกเขาทั้งสองออกจากกันได้ชั่วนิจนิรันดร์
ชั่วเวลานั้นไป๋จิ้งและชิงลี่คิดพร้อมกันทันใดว่า
พวกเขาต่างเกิดมาเพื่อกันและกันอย่างแท้จริง...
———————————————— nc —————————————————
ภายในหอร่ายรำหยกราตรีค่ำคืนนี้ต่างออกไปจากทุกที ทุกชีวิตล้วนแล้วแต่ถูกจับมานั่งรวมกันอยู่ตรงกลางโถงชั้นล่าง แม้แต่สื่อชิวหงเองก็ยังมิวายถูกคุมตัวนั่งรวมอยู่กับบ่าวไพร่และนางรำทั้งหมด
มองดูชายในชุดดำนับสิบชีวิตที่ยืนกระจายอยู่ทั่วหอร่ายรำ ทุกคนต่างพากันตัวสั่นงันงกทั้งยังร่ำไห้ด้วยความหวาดกลัว สื่อชิวหงนั้นสามารถประคองสติได้ดีกว่าใคร เนื่องจากทำหอร่ายรำมาย่อมพบเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันอยู่บ้าง จึงพยายามเอ่ยปากต่อรองกับชายชุดดำ
“พี่ชายท่านนี้ หากพวกท่านต้องการทรัพย์สินอันใดก็สามารถหยิบยกเอาไปได้เลย ขอเพียงอย่าทำร้ายพวกเราเท่านั้น” แม้จะแสนเสียดายเงินทองที่เพิ่งพอกพูนได้ไม่นาน กระนั้นของนอกกายล้วนหาใหม่ได้ทั้งสิ้น ชีวิตต่างหากที่เสียไปแล้วเรียกกลับคืนไม่ได้!
“พวกเราต่างไม่มีใครเห็นใบหน้าพวกท่านสักคน หากกลัวว่าพอจากไปแล้วพวกเราจะรีบไปฟ้องทางการ ให้พวกท่านมัดมือมัดเท้าพวกเราเอาไว้ก็ได้” คนของหอร่ายรำได้ยินดังนั้นก็รีบพยักหน้าสนับสนุนคำพูดของสื่อชิวหงทันใด
ทว่าชายชุดดำที่ปกปิดใบหน้านั้น แววตากลับเรียบนิ่งยิ่งกว่าผืนน้ำอันไร้ระลอกคลื่น สื่อชิวหงผู้ถนัดมองสีหน้าแววตาผู้คนได้เห็นดังนั้นความหวาดกลัวก็เข้าเกาะกุมจิตใจ ดูพวกมันมิได้หมั่นไหวต่อเงินตราของมีค่าแม้แต่น้อย
แล้วพวกมันต้องการสิ่งใดกันแน่?
คิดได้เพียงเท่านั้นเมื่อเหลือบสายตาขึ้นมองอีกก็พบแววตาเย็นเยียบเปี่ยมไอสังหารของชายชุดดำผู้หนึ่งเข้าพอดี สื่อชิวหงพลันสะท้านเยือกไปทั้งกาย รู้ทันทีว่าชายชุดดำเหล่านี้มีความตั้งใจจะเอาชีวิตคนของหอร่ายรำทั้งหมด!
หรือเป็นเพราะพวกนางเผลอไปล่วงเกินเหยียบเท้าผู้มีอำนาจคนใดเข้ากัน?
พลันจู่ๆ ภาพใบหน้างดงามเปี่ยมอำนาจบารมีของชายผู้หนึ่งที่ยินยอมจ่ายสามหมื่นตำลึงทองอย่างง่ายดายเพื่อแม่นางโหลวก็ผุดขึ้นมาในหัวของสื่อชิวหง หรือว่าบุรุษผู้นั้นจะนึกโมโหแม่นางโหลวจนตามมาแก้แค้นสตรีที่หักหน้าเขากลางวง
ทว่าหลังจากนางตื่นขึ้นมาจากอาการสลบใสลด้วยความตกใจจนเกินไป พอสอบถามบ่าวไพร่ก็ได้ความว่าคุณชายท่านนั้นเดินออกไปจากหอร่ายรำออกไปด้วยท่าทีปกติ มิได้โวยวายหรือมีท่าทีขึ้งแค้นอันใดมิใช่หรือ นางยังกราบไหว้ขอบคุณสวรรค์แทบตาย
หรือจะเป็นฝีมือศัตรูทางการค้าที่นึกอิจฉาหอร่ายรำของนาง ซึ่งระยะนี้เฟื่องฟูขึ้นมาอย่างรวดเร็วราวกับพยัฆค์ติดปีก?
สื่อชิวหงกวาดสายตามองสำรวจทั่วทั้งกลุ่มชายชุดดำและทั่วโถงบริเวณ เผื่อจะพบเจอเบาแสหรือสิ่งผิดปกติที่บ่งชี้ตัวผู้อยู่เบื้องหลังได้บ้าง ทว่าก็หาพบสิ่งใดไม่
....ว่าแต่แม่นางโหลวผู้นั้นอยู่ที่ใดกัน?
สื่อชิวหงไม่รู้ว่านั่นก็เป็นสิ่งที่หานตงคิดอยู่เช่นเดียวกันในยามนี้ เขานึกว่าท่านอ๋องเข้ามาจะจัดการทุกอย่างด้วยความรวบรัด แล้วอุ้มพา ‘แม่นางโหลว’ กลับออกมาด้วยกัน ทว่านี่ก็ผ่านมาเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว ก็ยังไร้ตัวคน ทั้ง ‘แม่นางโหลว’ ทั้ง ‘คุณชายไป๋’
พวกเขาต่างก็ไม่กล้าทำอะไรโดยพลการ เพราะท่านอ๋องก็มิได้พูดชัดเจนว่าจะจัดการอย่างไรกับพวกคนของหอร่ายรำทั้งหมดนี้ หานตงจึงรออยู่นาน ผ่านไปสักพักก็คิดว่าได้เวลาที่สองสามีภรรยาน่าจะพูดคุยปรับความเข้าใจเรื่องราวต่างๆ เรียบร้อยดีแล้วจึงขึ้นไปยังชั้นสองเพื่อไปรอรับคำสั่งต่อไป
“อ๊า!”
มิคาดว่าเท้ายังมิทันก้าวไปถึงประตูหน้าห้องก็ได้ยินเสียงแปลกๆ เล็ดรอดออกมา ชายหนุ่มชะงัก หน้าแดงแจ๋ราวกับอังไฟ ปากที่เตรียมจะส่งเสียงถามได้แต่อ้าค้างพะงาบๆ จนเมื่อได้ยินเสียงร้องครวญอีกครั้งจึงได้สติรีบชักเท้าลงไปยังชั้นล่างทันที
โอย ท่านอ๋องหนอท่านอ๋อง สถานการณ์แบบนี้ยังจะ... บ่าวชายคนสนิทยิ่งคิดก็ยิ่งให้หน้าแดงก่ำ ด้วยทั้งขัดเขินทั้งโมโห
สามีภรรยาคู่นี้ก็ช่างกระไร!
แต่จะให้เขาเสี่ยงชีวิตขึ้นไปขัดขวางก็กระไรอยู่ โบราณว่าน้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือขวาง ยิ่งตอนนี้นายของเขามิใช่น้ำเชี่ยวธรรมดาแต่เป็นลมมรสุมต่างหาก
...เช่นนั้นก็ไม่มีทางเลือกนอกจากรอจนกว่าเจ้านายทั้งสองจะปรับความเข้าใจกันจนเรียบร้อยครบถ้วนกระบวนความ!
ภายในห้องซึ่งไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปรบกวนนั้น บนเตียงปรากฏสองร่างขาวนวลซึ่งยังคงตกอยู่ในห้วงเสน่หาคลอเคลียพัวพันกันอยู่ไม่ห่างราวกับนกยวนยางสองตัวที่ไม่ยินยอมแยกจากกัน
“ท่านอ๋อง” ชิงลี่ซึ่งนอนคว่ำพริ้มตาหลับนั้นเปล่งเสียงเรียกชายหนุ่มเสียงอ่อนระโหย ไป๋จิ้งได้ยินนางมารน้อยเรียกเขาด้วยน้ำเสียงผะแผ่วแว่วหวานถึงเพียงนั้นจึงยอมเงยหน้าขึ้นมาจากลาดหลังอันนวลเนียนน่าหลงใหลของนาง
เขาจุมพิตที่หัวไหล่นางก่อนกระซิบข้างหูด้วยเสียงกระเส่าจนเธอใจเต้นระส่ำระสาย
“ว่าอย่างไรนางมารจอมยั่ว” ลมหายใจอุ่นร้อนกระทบที่ซอกคอทำเอาเธอสยิวไปทั้งกายอีกครั้ง นางร้ายสาวเอียงคอหลบด้วยรู้สึกจั๊กจี้ เธอเหลือบสายตาขึ้นออดอ้อน
“คืนนี้ข้าไม่ไหวแล้วนะ” มิใช่ว่าไม่อยากให้สามีเต็มอิ่ม แต่ครั้งนี้เธอโดนเขาตักตวงอย่างอาจหาญเอาแต่ใจทั้งยังรุนแรงยิ่งกว่าครั้งก่อน หลายต่อหลายรอบจนขี้เกียจนับ สมองก็ตื้อตันไปหมดแล้ว ตอนนี้เหนื่อยจนแทบจะหลับกลางอากาศได้ทุกเมื่อแล้วด้วยซ้ำ
ไป๋จิ้งทอดสายตามองร่างเล็กบางที่ก่อนหน้านี้ขาวผ่องไร้ที่ติ บัดนี้เต็มไปด้วยรอยช้ำเป็นจ้ำๆ บางที่ยังปรากฏรอยฟันขบด้วยซ้ำ ทว่านางกลับมิได้นึกโมโหแต่ยังพยายามเอาอกเอาใจเขาก็ให้วาบหวามอบอุ่นไปทั้งหัวใจ และรู้สึกสงสารระคนเอ็นดูนางมารน้อยใต้ร่างของเขานัก
เขาเองก็เพิ่งสำนึกรู้ตัวว่าตนเองลงมือหนักถึงเพียงน้ี!
ท่านอ๋องหนุ่มรีบขยับลงไปอีกฝั่งของเตียง แล้วใช้แขนแกร่งช้อนกายนุ่มนิ่มราวกับไร้กระดูกของเด็กสาวให้ขึ้นมานอนแนบอก เมื่อนางปรือตาแฝงแววอ้อนวอนขึ้นมองเขาจึงหัวเราะในลำคอ
“นอนพักเถอะ ข้าไม่ทำอะไรเจ้าแล้ว”
คล้ายจะยืนยันคำพูดตนเอง ชายหนุ่มดึงผ้าแพรผืนบางขึ้นมาห่มร่างเปลือยเปล่าของนาง ก่อนะจลูบศีรษะซึ่งยุ่งเหยิงจากการผ่านช่วงเวลาอันร้อนแรงให้เข้าที่อย่างเบามือ เป็นการปลอบโยนทั้งยังกล่อมนางไปในตัว ชั่วณะที่เขาคิดว่านางมารน้อยหลับใหลไปแล้วนั้น นางพลันเอ่ยขึ้นมาว่า
“ไป๋จิ้ง ที่ท่านพูดถึงแม่นางเยียนผู้นั้น...” ชิงลี่พูดค้างไว้อย่างไม่แน่ใจ เหมือนว่าเมื่อครู่ตอนที่เธอกับเขากำลังบรรเลงเพลงรักกันอย่างเร่าร้อนนั้น เธอจะเผลอถามเขาออกไปเกี่ยวกับเรื่องพระชายาเอกอะไรนั่น แล้วเขาก็ตอบกลับมาว่าอะไรสักอย่างที่มีคำว่า ‘ฆ่า’ อยู่ในนั้นด้วย
หรือว่าเธอจะฟังผิด? นางร้ายสาวไม่ต้องคิดสงสัยไปเองนานนักเมื่อสามีเธอให้คำตอบทันควัน
“เจ้าอยากให้ข้าสังหารนางตอนนี้เลยหรือไม่” น้ำเสียงเขาเรียบเรื่อย มือที่ลูบศีรษะเธอก็ยังคงลูบต่อไปไม่หยุดชะงักแม้แต่น้อย ราวกับสิ่งที่เขาเอ่ยถามเมื่อครู่เป็นเพียงการถามถึงเรื่องทั่วไปอย่า ‘วันนี้เจ้าอยากกินอะไร’
ไป๋จิ้งที่ยังคงอยู่ในท่าทางผ่อนคลายพลันรู้สึกได้ถึงอาการเงียบงันแข็งทื่อของเด็กสาว ท่านอ๋องหนุ่มเห็นดังนั้นก็หน้าผิดสี คิดไปว่านางมารน้อยจะหวาดกลัวเขาหรือไม่
“ท่านไม่เสียดายหรือ ข้าได้ยินว่านางเป็นสตรีที่งดงามมากผู้หนึ่งเชียว” ชิงลี่กระเซ้าสามี เนื่องจากตอนนี้เธอรู้สึกสบายใจแล้วที่เห็นว่าเขาไม่ได้ใส่ใจผู้หญิงคนนั้นแม้แต่น้อย ไป๋จิ้งเห็นนางมารน้อยมีท่าทีล้อเล่นได้แล้วก็คลายใจลง
“อันที่จริงเวลานี้ฝ่าบาทกำลังนึกสงสัยใต้เท้าเยียนบิดาของนาง จึงต้องการให้ข้าจับตามองบุตรสาวของเขาเท่านั้น”
“เช่นนั้นหากสังหารนางแล้วแผนการของฮ่องเต้จะไม่เป็นอะไรหรือ” ชิงลี่เบิกตาโพลง ไม่คิดว่าเรื่องที่เธอเอามาตั้งแง่ให้เขาจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังเป็นราชการลับแบบนี้
“ไม่เป็นไร หมากตัวนี้มิได้สลักสำคัญถึงเพียงนั้น” อันที่จริงแต่แรกเขาก็มิเคยเห็นด้วยกับแผนการนี้ของเสด็จพี่อยู่แล้ว เขาย่อมมีวิธีอื่นอีกมากมายที่จะใช้จับตามองใต้เท้าเยียนผู้นั้น ทว่าในยามนั้นเขาเกิดอารมณ์อยากประชดประชันให้นางมารตัวน้อยรู้สึกกระวนกระวายใจ หึงหวงเขา อีกทางหนึ่งก็เป็นเหยื่อล่อให้ชิงลี่ทนไม่ไหวต้องออกมาวิ่งเต้นหาเรื่องเขาถึงที่ จึงได้ตอบตกลงยินยอมไปเช่นนั้น
แน่นอนว่าเขาย่อมไม่เปิดเผยเหตุผลที่แท้จริงออกไปให้นางได้ยินเป็นอันขาด...
ชิงลี่ได้ยินดังนั้นจากที่รู้สึกโมโหขุ่นเคืองคุณหนูเยียนอะไรนั่นก็พลันเปลี่ยนมาเป็นรู้สึกสงสารอีกฝ่ายขึ้นมาตงิดๆ
“เจ้าไม่จำเป็นต้องสงสารนางหรอก ข้าเองก็สัมผัสได้ว่าใต้เท้าเยียนผู้นี้ไม่ชอบมาพากลนัก เยียนหย่าลี่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของเขา ไม่แน่ว่าจะไม่ข้องเกี่ยวเลย นางมารน้อยอย่างเจ้าไม่ต้องไปกังวลแทนผู้อื่น คิดถึงแต่เรื่องของข้าก็พอแล้ว”
ชิงลี่ฟังไป๋จิ้งพูดแล้วพยักหน้าหงึกหงักยิ้มอย่างว่าง่าย ไม่นึกน้อยใจที่เขาไม่พูดถึงรายละเอียดหรืออธิบายเรื่องราวให้กระจ่างชัด รู้ว่าทั้งหมดเป็นหน้าที่การงานของเขา อันที่จริงเธอยังตกใจด้วยซ้ำที่เขาเปิดเผยให้เธอฟังถึงขนาดนี้
“เจ้านอนพักเถิด” เขากล่อมนางอยู่พักหนึ่ง จนลมหายใจนางสม่ำเสมอ จึงใช้นิ้วเรียวปัดปอยผมที่ปรกระใบหน้าของนางขึ้นคล้องหูใบเล็ก ก่อนจะโน้มลงไปจุมพิตหน้าผากใสเนียนแผ่วเบาหนึ่งที
“ท่านอ๋องขอรับ”
ได้ยินเสียงคนสนิทเรียกท่านอ๋องเจ็ดก็รู้ว่าสมควรแก่เวลาจัดการทุกสิ่งให้เรียบร้อยและออกจากหอร่ายรำได้แล้ว ชายหนุ่มค่อยๆ ขยับลุกออกจากที่นอนอย่างระมัดระวังไม่ให้รบกวนร่างบาง ขณะจะก้าวลงจากเตียงกลับต้องชะงักเมื่อเสียงงัวเงียเอ่ยลากยาวราวกับเจ้าตัวเพียงพูดลอยๆ
“ท่านอ๋อง...ข้าชอบหอร่ายรำแห่งนี้ยิ่งนัก”
ไป๋จิ้งหรี่ตามองแผ่นหลังนวลเนียนน่ามองที่โผล่พ้นผ้าแพรผืนบาง นางพูดเช่นนี้คือไม่ต้องการให้เขาทำลายสถานที่แห่งนี้ใช่หรือไม่? ภายในใจชายหนุ่มครุ่นคิดรวดเร็วก่อนจะยิ้มบางๆ ตอบ
“เช่นนั้นก็ปล่อยเอาไว้” สถานที่ปล่อยไว้เช่นนี้ แต่คนทั้งหมดเคยเห็นใบหน้านางแล้วย่อมปล่อยเอาไว้ไม่ได้! เขาลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยทว่ายังมิทันได้ก้าวออกจากห้องกลับมีสุ้มเสียงรู้ทันจากร่างที่ยังคงนอนอยู่บนเตียงหันหลังให้เขา
“สามี...ข้าจำหน้าทุกคนในหอร่ายรำได้นา”
หานตงที่ยืนรออยู่เยื้องไปจากหน้าห้องรีบก้าวเข้ามาหาท่านอ๋องหนุ่มผู้เป็นนายทันที สีหน้าแฝงแววร้อนใจเล็กน้อย เนื่องจากเวลานี้พวกเขาฉีกขบวนออกมาจากขบวนหลักโดยที่มิได้บอกเหตุผลชัดเจนแก่พวกจวนแม่ทัพ เพียงบอกว่าต้องมาจัดการธุระที่เมืองหวาซุ่นเท่านั้น
แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดว่ากล่าวคัดค้านอันใด เพียงบอกว่ามิอาจให้พวกเขาล่าช้าจากขบวนหลักเกินสามวัน อาจเป็นเพราะคิดว่าเจ้านายของเขาเป็นพระอนุชาคนโปรดขององค์ฮ่องเต้ กระนั้นการกระทำนี้ก็ดูไม่ดีต่อภาพลักษณ์ของจิ้งอ๋องเป็นอย่างมาก
ยิ่งธุระนั้นคือการมาตามหาเมียที่หายไป! ยามนี้ชื่อเสียงของท่านอ๋องเจ็ดเพิ่งฟื้นฟูหลังจากที่ดำดิ่งอยู่ในห้วงเหวลึกมานาน หากมีคนรู้เข้าแล้วเล่าลือออกไปว่าระหว่างเดินทางมาปฏิบัติราชกิจที่ได้รับมอบหมายจากองค์ฮ่องเต้ จิ้งอ๋องผู้นี้ได้หลบออกมาตามหาคนรัก
เช่นนี้มิกลายเป็นชื่อเสียงของท่านอ๋องต้องดิ่งลงเหวลึกกว่าเดิมหรอกหรือ...
เขารู้ว่าเจ้านายมิได้ใส่ใจในเรื่องนี้แม้แต่น้อย สำหรับวังเสวี่ยอวิ๋นนั้นย่อมรู้ซึ้งอยู่แก่ใจในลาภยศสรรเสริญว่าเป็นสิ่งเลื่อนลอยเพียงใด เขาเพียงหวั่นว่าจะมีผู้ใดนำจุดอ่อนเรื่องนี้มาโจมตีจิ้งอ๋องในภายหลัง เกิดมีเรื่องราวผิดพลาดในภารกิจชิ้นนี้ แล้วมีผู้ไม่ประสงค์ดีโยงมาถึงตัวท่านอ๋องว่าละเลยการงานหลบมาหาสตรีระหว่างเดินทางไปปฏิบัติภารกิจ นี่ย่อมมิใช่เรื่องดีแน่
ดังนั้นเขาจึงคาดหวังไว้ให้ยิ่งจบเรื่องราวได้รวดเร็วหมดจดเท่าไรยิ่งดี!
“ท่านอ๋อง...” ไป๋จิ้งยกมือขึ้นเป็นเชิงให้บ่าวชายคนสนิทไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้น หานตงจึงหยุดปากพลัน
“เจ้าบ่าวชายผู้นั้นอยู่ที่ใด” แม้จะไม่ได้ระบุนามหากหานตงก็เข้าใจว่านายตนหมายถึงอาต่ง บ่าวรับใช้ข้างกายพระชายารอง
“อยู่ในห้องท้ายสุดขอรับ” ไป๋จิ้งเดินตรงไปยังทิศทางทีร่หานตงบอก หากเหมือนนึกบางสิ่งขึ้นได้จึงหันมาสั่งการ
“เจ้าไปทำเรื่องซื้อหอร่ายรำนี้ไว้” ไป๋จิ้งนิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยต่อ “ใช้ชื่อหานหนี่ว์ก็แล้วกัน” อย่างไรก็ไม่สมควรใช้ชื่อของเขาหรือหญ่วนเยว่ชิง เพราะอาจเกิดข้อครหาในภายหลังได้ เขาจึงเลือกใช้ชื่อหานหนี่ส์ซึ่งเขายกให้เป็นผู้คุ้มกันประจำตัวเด็กสาว
หานตงมึนงงกับคำสั่งเล็กน้อยกระนั้นก็มิได้ถามไถ่ให้มากความ เพียงพยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความไม่แน่ใจ
“ท่านอ๋อง...คนพวกนี้ให้จัดการอย่างไรดีขอรับ” หานตงถามถึงคนของหอร่ายรำหยกราตรี ไป๋จิ้งนิ่งเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ
“ปล่อยไว้ ไม่ต้องฆ่า”
ดวงตาทั้งคู่ของหานตงฉายแววตื่นตะลึง ก่อนจะรีบรับคำสั่งแล้วลงไปจัดการ เพราะหากไม่ใช่คำสั่งฆ่าก็หมายความว่าเขาต้องหาวิธีปิดปากคนเหล่านี้ให้สนิทแน่นในเรื่องของแม่นางโหลว รวมถึงเรื่องของค่ำคืนนี้อีกด้วย
เพียงแค่คิดถึงสิ่งที่ต้องทำในคืนนี้หานตงผู้ไม่ชื่นชอบความยุ่งยากเช่นเดียวกับเจ้านายก็ให้เหนื่อยหน่ายจนต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
อย่างไรคนตายก็น่ารักว่าง่ายกว่าคนเป็นจริงๆ...
เมื่อก้าวเข้ามาภายในห้องสี่เหลี่ยมซึ่งมีขนาดเล็กกว่าห้องพักของชิงลี่ที่เขาเพิ่งออกมานั้น ก็พบเด็กหนุ่มหน้าเป็นผู้หนึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นไม้นิ่งเงียบ สีหน้าท่าทีบ่งบอกว่ารอเขาปรากฏตัวอยู่สักพักแล้ว
ไป๋จิ้งพิจารณาบ่าวชายของภรรยาก็ให้ประหลาดใจอยู่บ้าง แม้อีกฝ่ายจะนั่งอยู่บนรถเข็น ทั้งยังปราศจากวรยุทธ ดูเป็นเด็กหนุ่มที่อ่อนแอบอบบาง อยู่ในสถานภาพที่ช่วยเหลือตนเองมิได้ ทว่ากลับมิใช่ชนชั้นที่ควรประมาท
ใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลานั้นช่างไม่เหมือนเด็กหนุ่มอ่อนวัยแม้แต่น้อย ทั้งยังมีดวงตากล้าแข็ง แม้สบตาเย็นเยียบและเผชิญกับไอสังหารของเขาก็มิได้เปลี่ยนสีหน้าเช่นผู้อื่น
ลี่เอ๋อร์ของเขาสั่งสอนบ่าวได้ดีจริงๆ... ท่านอ๋องหนุ่มนึกชื่นชมภรรยาตัวน้อยในใจ แม้นางจะมีบ่าวคนสนิทน้อยนัก แต่เมื่อคนของนางเฉลียวฉลาดมีประสิทธิภาพเช่นนี้ จำนวนก็ย่อมมิใช่ปัญหา
“เจ้าก็คืออาต่ง”
“คำนับท่านอ๋องเจ็ด ต้องขออภัยที่ยามนี้กระหม่อมไม่สามารถคุกเข่าได้”
“ข้ามิถือ เจ้าเป็นคนสนิทของภรรยาข้า พูดเหมือนที่พูดกับนางก็พอ”
“ขอบพระคุณท่านอ๋องเจ็ด”
“เจ้าจงเล่าทุกสิ่งที่นางพบเจอตลอดสี่เดือนที่ผ่านมา อย่าให้ตกหล่นแม้แต่เหตุการณ์เดียว” ไป๋จิ้งไม่ใช่คนเยิ่นเย้อมากความจึงตรงเข้าประเด็นทันที อาต่งนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยประโยคคำถามแทนประดยคคำตอบ
“ข้าขอบังอาจถามท่านอ๋องก่อน ว่าท่านจริงใจกับพระชายารองมากเพียงใด” ได้ยินดังนั้นแววตาคมกริบก็สาดประกายแรงกล้า เจ้าเด็กนี่!
“ข้าไม่จำเป็นต้องยืนยันความรู้สึกของข้าที่มีต่อนางให้ผู้อื่นฟัง”
“เพียงเท่านี้ท่านยังไม่กล้าพูดตรงๆ หากนายหญิงเปลี่ยนไปท่านก็จะรังเกียจนาง ทิ้งขว้างนางใช่หรือไม่” แม้อาต่งจะเริ่มอึดอัดหายใจลำบากจากไอกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างสูงตระหง่าน กระนั้นเขาก็ยังเถียงสู้ยิบตา เพื่อที่จะปกป้องเจ้านายที่เขาเห็นเป็นเหมือนครอบครัวตนเองผู้นั้น
ที่เด็กหนุ่มมีท่าทีเช่นนี้ เนื่องจากตัวเขานั้นมีอคติกับท่านอ๋องเจ็ดผู้นี้ตั้งแต่ได้ยินข่าวว่าเขาไปปรากฏตัวที่โรงเตี๊ยมเลี่ยงหวงทุกวัน ขโมยหัวใจคุณหนูตระกูลต่างๆ ติดมือไปวันละไม่รู้กี่ดวงต่อกี่ดวง ทั้งๆ ที่เจ้านายเขาเพิ่งหายตัวไปแท้ๆ
ด้วยเด็กหนุ่มมองแต่เพียงด้านนายหญิงที่ตนรักยิ่ง เขาเห็นกับตาว่าเพื่อชายผู้นี้เจ้านายตนต้องเสียสละตั้งเท่าใด ดังนั้นภาพลักษณ์ในใจอาต่ง ท่านอ๋องเจ็ดผู้นี้จึงดูเหมือนสามีที่ไม่ใส่ใจภรรยาที่แสนดีของตนเท่าที่ควร เขาจึงกลัวว่าหากเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับนางไปแล้วอีกฝ่ายจะนึกรังเกียจจนทิ้งขว้างไม่ไยดีนายหญิงของตนอีก
ท่านอ๋องหนุ่มเห็นว่าอีกฝ่ายดื้อด้านปากหนักก็ให้หงุดหงิดยิ่ง หากก็รู้ว่าทำอันใดมันไม่ได้ด้วยนางมารน้อยเลี้ยงดูสั่งสอนมันมาอย่างดี ทั้งมันยังร่วมหัวจมท้ายกับนางมาตลอดสี่เดือนย่อมผูกพันกันมากขึ้น หากจู่ๆ เขาทำร้ายมันนางคงโกรธหนักเป็นแน่
ว่าแต่...เหตุใดบ่าวที่นางมารน้อยไว้วางใจต้องเป็นเด็กหนุ่มวัยเจริญพันธุ์เช่นนี้ด้วย
เขาเห็นแล้วขัดลูกกะตานัก!
“ข้าเห็นแล้วว่านางมีบางสิ่งเปลี่ยนไป รอยสักประหลาด ขวดยาพิษทั้งหลายที่นางพกติดตัว อ้อ แล้วก็เจ้างูดำนั่นอีก ...กระนั้นข้ายังมีความตั้งใจเช่นเดิมคือชั่วชีวิตนี้ของข้าไป๋จิ้งจะแต่งนางเป็นภรรยาเพียงผู้เดียวเท่านั้น”
อาต่งถึงกับหน้าเหวอไปทันใดเมื่อได้ยินคำกล่าวชัดเจนตรงตัวภายในประโยคจากปากอีกฝ่าย เมื่อครู่เขายังคิดไปว่า ท่านอ๋องอาจจะนึกรำคาญบ่าวที่จุ้นจ้านเรื่องเจ้านายอย่างเขาจนคิดฆ่าปิดปากเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ไม่คิดว่าชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์จะยอมพูดกับผู้ที่เป็นเพียงบ่าวอย่างเขาจริงๆ
นั่นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกประหลาดใจจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง แม้ว่าตนจะเป็นฝ่ายถามบีบคั้นท่านอ๋องเจ็ดเองก็ตาม
แน่นอนอาต่งย่อมไม่รู้ว่าเมื่อครู่ไป๋จิ้งมีความคิดที่จะสังหารเขาแวบขึ้นมาครู่หนึ่งจริงๆ...
“เจ้าจะเปิดปากได้หรือยัง” สายตาและน้ำเสียงเย็นยะเยียบของท่านอ๋องหนุ่มนั้นบ่งบอกว่าหากเขายังลีลาท่ามากอีกก็เตรียมตัวไปเล่าในยมโลกต่อได้เลย อาต่งจึงตอบรับเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อย
“อ้อ ขอรับ”
จากนั้นอาต่งเริ่มเล่าตั้งแต่จุดเริ่มต้นของสี่เดือนที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของเขา ตั้งแต่ครั้งที่นายหญิงติดต่อให้เขาเดินทางไปเป็นเพื่อนนอกเมือง โดยมีกำหนดการสามเดือน นางอธิบายเหตุผลให้ฟังคร่าวๆ ว่า ท่านอ๋องเจ็ดล้มป่วยหมดสติด้วยพิษบางอย่างซึ่งชายปริศนาที่จะร่วมเดินทางไปด้วยหรือก็คือจอมพิษมู่อินผู้นั้นอ้างว่าสามารถช่วยเหลือท่านอ๋องเจ็ดได้ ทว่าต้องแลกเปลี่ยนกับการที่นายหญิงต้องไปฝึกวิชากับเขาสามเดือน
ทว่าเมื่อพวกเราเดินทางมาถึงเมืองเฝ่ย เมื่อข้าได้ติดต่อกับคนของตนเองที่อยู่ในเมืองหลวง จึงได้รับรู้ว่าท่านอ๋องยังเป็นปกติ มิได้ล้มป่วยลุกไม่ขึ้นอย่างที่นายหญิงเข้าใจ
ยังไม่ทันที่จะได้วางแผนหลบหนี จอมพิษน่าตายผู้นั้นก็เปิดเผยเจตนารมณ์ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางปล่อยตัวลูกศิษย์ไปง่ายๆ
“มันผู้นั้นวางยาพิษข้ากับเสี่ยวซี นอกจากเพื่อใช้เป็นตัวประกันมิให้คุณหนูหลบหนีไปแล้ว มันยังทำเพื่อกระตุ้นให้นางรีบเร่งฝึกวิชาปรุงพิษและวิชาแก้พิษเพื่อมาช่วยชีวิตข้าและซีเอ๋อร์” น้ำเสียงของอาต่งมีแววเจ็บปวดเมื่อนึกถึงช่วงเวลาอันทรมานทั้งร่างกายและจิตใจนั้น
“มู่อินจะกรอกยาพิษต่างชนิดกันให้ข้าและเสี่ยวซี และยังเปลี่ยนพิษทุกๆ สองอาทิตย์อีกด้วย” เขาก้มลงมองขาตนเองด้วยแววตากร้าว ยังดีที่จอมพิษมู่อินยังมีจุดมโนธรรมเล็กๆ ปรากฏในใจบ้าง มันจึงเลือกใช้พิษชนิดรุนแรงกับเขาที่เป็นผู้ชายและใช้ชนิดที่ออกฤทธิ์อ่อนกว่ากับเสี่ยวซี
มิฉะนั้นหากเปลี่ยนเป็นเสี่ยวซีที่ต้องมีสภาพเดินไม่ได้แทนเขา คุณหนูคงโศกเศร้าและโทษตนเองรุนแรงยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้แน่
“อันที่จริงในช่วงนั้นข้าและเสี่ยวซีมักไม่ค่อยได้สติ พวกเราแทบจะนอนติดเตียงตลอด โดยเฉพาะช่วงแรกๆ ที่ต้องถูกพิษชนิดใหม่กรอกลงปาก ทว่าเมื่อลืมตาขึ้นมาเมื่อใดข้าก็จะเห็นคุณหนูคร่ำเคร่งอยู่กับตำราสีแดงเล่มหนึ่ง หรือไม่ก็วุ่นวายอยู่หน้าเตาปรุงยาอยู่เสมอ” พูดมาถึงตรงนี้อาต่งก็ตาแดงรื้นขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
หากกล่าวว่าช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ทรมานร่างกายของเขากับเสี่ยวซีที่สุดในชีวิตแล้วนั้น ก็ต้องบอกว่าสำหรับหญ่วนเยว่ชิงแล้วยังมีสภาพแย่ยิ่งกว่าพวกเขา คุณหนูถ่างตาศึกษาตำราพิษนั่นอย่างหนักแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนด้วยกลัวจะไม่ทันเวลา
นางต้องลองผิดลองถูกกับร่างกายพวกเขาด้วยความจำเป็น ยิ่งเมื่อยาถอนพิษที่นางปรุงขึ้นมาไม่ได้ผลหรือทำให้พวกเขาอาการแย่กว่าเดิมนั้นจะเป็นช่วงเวลาที่ทำร้ายจิตใจคุณหนูมากที่สุด
แม้ตลอดสี่เดือนที่ผ่านมานี้หญ่วนเยว่ชิงจะไม่เคยหลั่งน้ำตาให้เขาและเสี่ยวซีเห็น ทว่าพวกเขากลับยิ่งสัมผัสได้ว่านางเจ็บปวดราวกับหัวใจถูกฉีกเป็นชิ้นๆ อยู่ตลอดเวลา
...กับการที่ให้เด็กสาวผู้หนึ่งต้องคอยแบกรับสองชีวิตที่ตนเองห่วงใยนั้น หากไม่เรียกว่าเป็นการเคี่ยวกรำทั้งจิตใจทั้งร่างกายอย่างโหดเหี้ยมทารุณแล้วจะให้เรียกว่าอย่างไรได้!
“ตอนนี้มันอยู่ที่ใด” คำถามเรียบสั้น แฝงไอสังหารของท่านอ๋องเจ็ดนั้นทำให้อาต่งสำนึกขึ้นได้ว่าตนเล่าอย่างใส่อารมณ์มากเพียงใด ดูแววตาดำมืดราวกับห้วงอเวจีของท่านอ๋องแล้วเด็กหนุ่มก็ให้ขนลุกขึ้นมาบ้าง
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจนักว่าเวลานี้มันผู้นั้นยังอยู่ที่เดิมหรือไม่ เอ่อ...จริงๆ นี่ก็เป็นสิ่งที่ข้าอยากจะเรียนให้ท่านอ๋องทราบ คุณหนูได้ทำร้ายมันทั้งยังทำลายบางสิ่งที่จอมพิษน่าชังผู้นั้นหวงแหนมากที่สุดก่อนพาพวกข้าหลบหนีออกมา...” อาต่งพูดด้วยความกังวล เขากลัวว่ายามนี้หากมู่อินยังมีชีวิตอยู่จะตามมาแก้แค้นหญ่วนเยว่ชิง เพราะก่อนจากมานางเองก็ทำเขาไว้เจ็บแสบเช่นกัน
“นางทำร้ายมันและพาพวกเจ้าออกมาได้อย่างไร” ไป๋จิ้งถามในสิ่งที่เขาสงสัยมากที่สุด จอมพิษมู่อินนั้นที่ชื่อเสียงขจรขจายเป็นเพราะนอกจากฝีมือการใช้พิษแล้ววรยุทธก็ใช่ชั่ว เช่นนั้นนางมารน้อยพาเด็กสองคนที่ร่างกายอ่อนแอจากการถูกพิษหลบหนีออกมาจากเงื้อมมือของปิศาจพิษผู้นั้นได้อย่างไร
“ท่านอย่าได้ดูถูกการใช้พิษของนาง อีกทั้ง...” พูดมาถึงตรงนี้อาต่งก็ชะงัก ราวกับลังเลว่าควรจะพูดต่อไปดีหรือไม่ ไป๋จิ้งเห็นดังนั้นจึงขมวดคิ้ว
“อีกทั้ง?”
“คุณหนู นาง..นางเหมือนสามารถสื่อสารกับสัตว์พิษได้” อาต่งพูดพลางลอบสังเกตสีหน้าของท่านอ๋องหนุ่ม เรื่องที่เขาพูดอาจจะฟังดูเหลือเชื่อจนน่าหัวเราะ แต่อันที่จริงเขายังพูดน้อยเกินไปด้วยซ้ำ
เพราะจากที่เขาเคยเห็นและสัมผัสมากับตนเองนั้น หญ่วนเยว่ชิงมิใช่เพียงสามารถพูดคุยสื่อสารกับสัตว์เลือดเย็นพวกนั้นได้ ทว่านางยังสามารถควบคุมพวกมันได้อีกด้วย!
...อันที่จริงนอกเหนือไปจากกระท่อมที่พวกเขาพักอยู่นั้น เดินไปไม่ไกลก็จะพบทุ่งดอกไม้สีม่วงประหลาดตา เขาและเสี่ยวซีเองก็ไม่เคยเห็นเนื่องจากนอนไร้เรี่ยวแรงอยู่กับที่แทบจะตลอดเวลา หากมีวันหนึ่งคุณหนูเด็ดดอกไม้สีม่วงมาให้พวกเขาที่ไม่สามารถออกไปด้านนอกได้ชื่นชมความงามของมัน ทว่าเมื่อมู่อินกลับเข้ามาเห็นดอกไม้กำนั้นที่ถูกเด็ดออกมาจากสวนก็ให้โมโหรุนแรง ทว่าเขามิได้ทำร้ายลูกศิษย์ของตนเอง หากแต่มาระบายความโกรธลงกับเขาและเสี่ยวซีแทน
หลังจากเหตการณ์นั้นคุณหนูก็ยิ่งนิ่งเงียบลง เอาแต่ฝึกวิชาอย่างคร่ำเคร่งหักโหมยิ่งกว่าเดิม
จนกระทั่งเมื่อนางเข้าใจตำราเล่มนั้นจนทะลุปรุโปร่งดีแล้ว คุณหนูกล่าวว่านางสำเร็จวิชาและเข้าใจพิษได้รวดเร็วยิ่งกว่าที่มู่อินคาดคิดเอาไว้ ทว่านางกลับปิดเป็นความลับ และเร่งรักษาเขาและเสี่ยวซีจนร่างกายฟื้นฟูในระดับที่สามารถเดินเหินได้ไม่เจ็บปวด นางก็กล่าวยิ้มๆ กับพวกเขาว่า
‘พวกเราทั้งหมดจะเดินออกจากที่นี่ในคืนนี้ แต่ข้าขอไปจัดการธุระก่อน’
คุณหนูหายไปเพียงพักเดียวก็กลับมาด้วยใบหน้าที่สดใสยิ้มแย้มกว้างขวาง นับเป็นรอยยิ้มจากใจจริงของคุณหนูในรอบสี่เดือนเลยทีเดียว
ยังไม่ทันได้ออกจากที่แห่งนั้นพวกเขาต่างก็ได้กลิ่นเขม่าควันที่ลอบคลุ้งในอากาศ เมื่อหันไปมองด้านหลังจึงเห็นท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ค่อยๆ ถูกย้อมด้วยแสงไฟสีส้มแดง พักนึงทั่วบริเวณก็ดูสว่างราวกับเป็นเวลากลางวัน
พลันแว่วเสียงโหยหวนราวกับคนใจสลายดังมาจากบริเวณทุ่งดอกไม้นั้น เขายังไม่ทันนึกออกว่าเกิดอะไรขึ้นกัน ก็ปรากฏร่างที่เต็มไปด้วยเขม่าไฟของมู่อินยืนตระหง่านขวางทางพวกเขา
‘เยว่ชิง! เจ้าเป็นผู้จุดไฟเผาทุ่งดอกไม้ของข้าใช่หรือไม่!’ เสียงแหบต่ำดังออกมาจากร่างนั้น ยามนี้จอมพิษหน้ามืดคล้ำทั้งยังแฝงแววเคียดขึ้งสุดแสน ดูราวกับผีร้ายที่ผุดออกมาจากนรก
ทั้งเขาและเสี่ยวซีต่างหวาดกลัวจนตัวแข็งค้าง ทว่ากับต้องสะดุ้งเมื่อคุณหนูที่ยืนอยู่่ใกล้ไม่เพียงไม่ตื่นตระหนก นางยังเปล่งเสียงหัวเราะสาแก่ใจออกมาดังลั่น เสียงนั้นแหลมเสียดแทงผู้ฟังยิ่งนัก ราวกับมิใช่เสียงใสปกติของนาง
‘ใช่หรือไม่ต่างกันอย่างไร สิ่งสำคัญคือความโง่เง่าของท่านที่ไม่สามารถปกป้องของรักของตนเองได้ต่างหากเล่า!’
เขาจำได้ว่าจอมพิษคล้ายถูกกระตุ้นอารมณ์ถึงขีดสุด มู่อินตะโกนออกมาดังลั่นว่าจะตามสังหารทำลายของรักของคุณหนูให้หมด และประโยคนั้นก็คล้ายกับเป็นการตัดฟางเส้นสุดท้ายของเด็กสาวผู้ข่มกลั้นความแค้นมาตลอดสี่เดือน
จู่ๆ ร่างหญ่วนเยว่ชิงก็สั่นไหวสลับกับกระตุกค้างอย่างน่ากลัว ดวงตาของนางพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำราวกับย้อมด้วยเลือด เจ้างูดำที่ปกติมักพันแขนนอนนิ่งๆ ตัวนั้นก็ชูคอขึ้นสูงอ้าปากกว้างขู่ฟ่อ
‘หากเจ้ากล้าแตะต้องคนที่ข้ารักอีกก็ลองดู’
พวกเขาทุกคนในที่นั้นแม้แต่มู่อินต่างชะงักค้าง ทว่ากลับต้องตื่นตะลึงยิ่งกว่าเมื่อจู่ๆ รอบด้านก็ปรากฏงูดำนับร้อยนับพันซึ่งมีลักษณะคล้ายกับเจ้าตัวที่อยู่กับคุณหนูเป็นประจำนั้นแผ่เลื้อยเข้ามาจากทั่วทุกสารทิศ โดยทุกตัวมีจุดมุ่งหมายที่เดียวคือมู่อิน!
พวกมันต่างเลื้อยรัดทั้งยังฝังคมเขี้ยวของตนลงบนร่างของจอมพิษโดยที่เขาไม่สามารถปัดป้อง ช่วยเหลือตนเองได้เนื่องจากจำนวนของมันเยอะเกินไป ภาพนี้มันช่างน่าสยดสยองจนแม้แต่บุรุษเพศอย่างเขายังเข่าอ่อนยวบ ทว่าเมื่อเขาเหลือบไปทางคุณหนู นางกลับแย้มยิ้มกดลึกราวกับกำลังดื่มด่ำอยู่กับภาพวาดอันแสนงดงาม นางหยิบขวดยาสีเขียวใสออกมาโยนทิ้งไว้ที่พื้นก่อนกล่าวกลั้วหัวเราะ
‘อาจารย์ พิษงูชนิดนี้ท่านไม่เคยสัมผัสคงมิอาจถอนด้วยตนเองได้กระมัง ศิษย์จะเมตตาสักครั้งทิ้งยาถอนพิษเอาไว้ตรงนี้ หากยังไม่ตายก็คลานมาเอาไปกินก็แล้วกัน’ พูดเพียงเท่านี้คุณหนูก็พาเขากับเสี่ยวซีออกมาจากที่นั่น โดยทิ้งจอมพิษมู่อินที่ถูกห่อหุ้มด้วยเส้นสายสีดำจนดูเหมือนกลุ่มก้อนอะไรสักอย่างไว้เบื้องหลังอย่างไม่ใส่ใจ
“ข้าเห็นเจ้างูดำที่อยู่กับนางแล้ว” เสียงเย็นเยียบของท่านอ๋องเจ็ดเป็นเหมือนเชือกที่ดึงเขาออกจากความทรงจำอันน่าหวาดกลัวในค่ำคืนนั้น ไป๋จิ้งจ้องมองเด็กหนุ่มหน้าเป็นที่หน้าผิดสีไปชั่วขณะราวกับกำลังปิดบังรายละเอียดบางอย่างอยู่
“อ้อ ใช่แล้ว ข้าเองก็ไม่รู้ว่านางได้มันมาอย่างไร หากแต่มันรู้ความราวกับสุนัขทั้งยังฟังเพียงคำสั่งของคุณหนูเท่านั้น” อาต่งจ้องมองอีกฝ่ายกลับพลางพูดถึงเรื่องอื่นกลบเกลื่อน
เขาไม่คิดจะอธิบายให้ท่านอ๋องเจ็ดฟังอย่างละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่เจ้านายของตนสามารถทำได้ มิใช่กลัวท่านอ๋องเจ็ดไม่เชื่อคำพูดตน แต่กลับกลัวเขาจะเชื่อถือแล้วนึกรังเกียจที่ภรรยามีความสามารถอันน่าหวาดกลัวเช่นนี้ต่างหาก!
เพราะแม้แต่เขากับเสี่ยวซีหลังจากได้เห็นภาพฝูงอสรพิษดำในครั้งนั้น ยังไม่กล้าสบตาคุณหนูอยู่หลายวัน... จนเมื่อเขาสัมผัสได้ว่าท่าทีของเขาและเสี่ยวซีทั้งสองส่งผลกระทบต่อจิตใจของนางมากเพียงใด จึงได้พยายามระมัดระวังมากยิ่งขึ้น
สำหรับมุมมองเขานั้น ยามนี้จิตใจของเจ้านายเขาเปราะบางเป็นอย่างยิ่ง หากต้องถูกชายที่นางรักที่สุดมองด้วยสายตาหวาดกลัวหรือรังเกียจย่อมมิใช่สิ่งที่นางจะสามารถทานทนได้เป็นอันขาด!
“ท่านอ๋อง มิใช่ว่าคุณหนูมิอยากกลับไปหาท่านโดยเร็ว ข้าคิดว่าเป็นเพราะนางรู้สึกหวาดกลัวสับสนกับความเปลี่ยนแปลงของตนเองจึงเกิดไม่มั่นใจขึ้นมา นางเพียงต้องการเวลาก็เท่านั้น” ด้วยตลอดสี่เดือนที่ผ่านมาเขาและเสี่ยวซีเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงและอารมณ์สับสนของหญ่วนเยว่ชิงจึงเข้าใจความคิดและความรู้สึกของนางดี อาต่งจึงพยายามพูดแทนเจ้านายเต็มที่
หารู้ไม่ว่าท่าทางเข้าอกเข้าใจอย่างนั้นมันกวนอารมณ์ของท่านอ๋องหนุ่มเป็นอย่างยิ่ง!
ภรรยาของเขา เขาย่อมรู้จักดีที่สุดอยู่แล้ว! ไป๋จิ้งที่หัวคิ้วกระตุกคิดภายในใจ ยิ่งคิดว่าสี่เดือนที่ผ่านมามันกินอยู่กับนางมารน้อยตลอดก็ยิ่งให้หงุดหงิดไม่ชอบขี้หน้า กระนั้นชายหนุ่มก็มิได้แสดงกิริยาอาการอันใดออกไป
“เข้าใจแล้ว ขอบใจเจ้ามากที่คอยอยู่เป็นเพื่อน ‘ภรร-ยา-ที่-รัก-ยิ่ง’ ของข้ามาตลอด ข้าจะลงบัญชีเอาไว้ให้เจ้าไปรับเงินตอบแทนกับพ่อบ้านซุนที่วังเสวี่ยอวิ๋นก็แล้วกัน” กล่าวเสียงเรียบรัวเร็วเสร็จสิ้นไป๋จิ้งก็หมุนกายออกจากห้องไปทันที
ทิ้งให้อาต่งมองตาปริบๆ ด้วยความงุนงง เขาเป็นบ่าวที่ขึ้นตรงต่อหญ่วนเยว่ชิงเหตุใดจึงต้องไปรับเงินกับพ่อบ้านของวังเสวี่ยอวิ๋น แล้วเหตุใดจึงต้องทั้งเน้นทั้งกระแทกคำบางคำถึงเป็นพิเศษเพียงนั้น
เด็กหนุ่มกระพริบตาไปมาถึงเพิ่งนึกขึ้นได้
...นี่ท่านอ๋องคงไม่ได้เกิดลมพิษหึงกับเด็กกะโปโลอย่างเขาหรอกใช่ไหม?
ไป๋จิ้งที่เวลานี้รับรู้เรื่องราวทุกอย่างโดยละเอียดแล้วก็ตรงกลับเข้าห้องที่มีร่างบางซึ่งยังคงหลับสนิทด้วยความเหนื่อยอ่อน เขาก้าวมานั่งริมเตียงพลางทอดสายตาจ้องมองสตรีของตนด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความรักใคร่สงสารออย่างไม่ปิดบัง
ที่แท้นางก็ถูกผู้อื่นหลอก โดยใช้ความปลอดภัยของเขามาอ้าง...
มู่อินหรืออสูรหน้าหยกผู้นั้นเขาย่อมรู้จัก ชื่อของมันผู้นี้กระฉ่อนไปทั่วยุทธภพเมื่อสิบกว่าปีก่อน ทั้งฝีมือการใช้พิษทั้งความโหดเหี้ยมของมันไม่เป็นรองผู้ใด ท่านอาจารย์ของเขาเคยเล่าให้ฟังว่ามันเดินผ่านไปที่ใดที่นั่นล้วนมีคนเจ็บตายจากพิษทั้งสิ้น
ว่ากันว่าพิษของมันทั้งพิศดารทั้งแก้ยาก ไม่มีใครอยากมีเรื่องกับจอมพิษนิสัยเดาไม่ได้ผู้นี้ แม้แต่จอมพิษด้วยกันเองยังหาทางหลีกเลี่ยง
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่ามันเข้าเร้นกายด้วยสาเหตุอันใด ทว่าผู้คนล้วนแล้วแต่ยินดี กระนั้นแม้จะไม่มีผู้ใดถามถึง หากด้วยฝีมือและการกระทำต่างๆ ที่มันเคยฝากฝังไว้ในแผ่นดิน ก็ทำให้ไม่มีผู้ใดลืมเลือนฉายาอสูรหน้าหยกไปได้โดยง่าย
เท่าที่เขารู้มาคืออสูรหน้าหยกเป็นจอมพิษที่สันโดษ มันโลดแล่นในยุทธภพเพียงผู้เดียวไร้มิตรสหาย ไร้อาจารย์ไร้ศิษย์สืบทอด
มิรู้ว่าเพราะเหตุใดมันจึงออกจากที่เร้นกาย แล้วยังมุ่งมั่นพุ่งเป้ามาที่ภรรยาตัวเล็กบางผู้นี้ของเขา กระนั้นมันก็ได้เข้าไปอยู่ในบัญชีดำของเขาเรียบร้อยแล้ว!
ท่านอ๋องหนุ่มใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผมให้นางอย่างแสนรักแสนทนุถนอม เขาไม่รู้เลยว่านางต้องพบเจออะไรมาบ้างตลอดระยะเวลาสี่เดือนที่ผ่านมา ยิ่งพอนึกถึงสิ่งที่อาต่งกล่าวเมื่อครู่ก็ยิ่งทั้งรู้สึกผิดลึกล้ำ ทั้งยังรู้สึกอ่อนหวานในหัวใจ
อันที่จริงเขาเองก็พอรู้นิสัยเด็กสาวอยู่ว่าลึกๆ แล้วนางเป็นคนช่างปกป้องคนรอบกายเพียงใด...
แม้จะคาดเดาเอาไว้อยู่ก่อนแล้วว่าที่นางจากไปต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาแน่ แต่พอมาได้ยินกับหูตนเองเข้าจริงๆ กลับยิ่งรู้สึกหวานลึกล้ำยิ่งกว่าที่คิดเอาไว้นัก ราวกับมีกระแสธารอุ่นสายหนึ่งหลั่งรินออกมาจากกึ่งกลางหัวใจ หล่อเลี้ยงไปทั่วกายอันเย็นเยียบของเขาให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง
แต่ก่อนนั้นตัวเขาไม่เคยได้รับรู้ถึงความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน แม้แต่พระมารดาแท้ๆ ยังทอดทิ้งไม่ไยดี แม้แต่พระบิดาหรือเสด็จพี่ฮ่องเต้ผู้นั้นก็ยังหลอกใช้เขา ไม่มีผู้ใดที่สละทุกอย่างให้เขาโดยไม่คาดหวังสิ่งใดเป็นการแลกเปลี่ยนเช่นนางมารน้อยผู้นี้
เด็กสาวผู้นี้ตั้งใจจะทำสิ่งใดกับเขากันแน่ เหตุใดนับวันหลุมรักที่นางขุดเอาไว้กลับยิ่งลึกลงมากขึ้นทุกที ...ลึกจนเกรงว่าชาตินี้เขาจะลุ่มหลงนางจนโงหัวไม่ขึ้นเสียแล้วกระมัง!
ชายหนุ่มเห็นนางมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย กอปรกับเห็นว่าทั่วร่างบางเต็มไปด้วยจุดสีม่วงแดงประปรายก็ให้รู้สึกผิดนัก คิดว่านางคงนอนอย่างไม่สบายตัวเท่าใด จึงจี้จุดหลับให้นางเข้าสู่ห้วงนิทราลึก แล้วจัดการแต่งเสื้อผ้าให้นางเรียบร้อย จึงช้อนกายอุ้มร่างนุ่มนิ่มขึ้นมาแนบอก ก่อนจะใช้ผ้าคลุมปกปิดใบหน้าของนางมิดชิด
หานตงเห็นเจ้านายออกมาจากห้องก็รีบตรงเข้ามารายงาน
“ท่านอ๋อง บ่าวจัดการมิให้พวกเขาปริปากเกี่ยวกับคืนนี้และนางรำโหลว รวมถึงตกลงซื้อขายหอร่ายรำหยกราตรีกับแม่นางสื่อเรียบร้อยแล้วขอรับ”
“อืม เช่นนั้นพวกเราก็กลับเข้าขบวนหลักเถิด”
“ขอรับ” กล่าวด้วยความยินดี เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงเพิ่งสังเกตุเห้นว่าก้อนห่อผ้าที่เจ้านายตนอุ้มอยู่ซึ่งเขาเห็นมาแต่ไกลนั้น เป็นร่างของพระชายารองนั่นเองก็ให้ชะงักนิ่งไปเล็กน้อย เจ้านายเขาจะอุ้มคนไปทั้งแบบนี้น่ะหรือ?
“ท่านอ๋อง ให้บ่าวช่วยประคองพระชายารองดีหรือไม่...” พูดไม่ทันจบหานตงก็ต้องถ้อยคำลงท้อง เมื่อเห็นสายตาเย็นเยียบที่ปรายตามองมาที่เขานิ่งราวกับว่าเขาเพ่ิงเอ่ยขอสิ่งที่ร้ายแรงที่สุด
“บ่าวขอตัวออกไปเตรียมม้าด้านนอกก่อน” ว่าแล้วก็ปลีกตัวออกมาอย่างรู้ความ ด้วยไม่อยากรับมือกับลมปรานน้ำส้ม* อันร้ายกาจของเจ้านายให้ต้องเจ็บตัวอีก
ไป๋จิ้งเก็บสายตาหงุดหงิดกลับคืนมาพิจารณาร่างบางในอ้อมแขนที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงเล็กน้อย ยามนี้นางมารน้อยที่เพิ่งผ้านศึกรักอย่างหนักหน่วงกับเขามาทั้งคืน ไม่ทันได้อาบน้ำแปรงผมให้เรียบร้อย ทว่าแทนที่จะดูสภาพย่ำแย่กลับตรงกันข้าม เวลานี้นางมารของเขาเปล่งประกายยั่วยวนใจแม้ในยามหลับใหล
ขนตาเป็นแพราวกับปีกผีเสื้อแผ่วพลิ้ว พวงแก้มฝาดเป็นสีแดงระเรื่อมอมเมาสายตาผู้มอง ทั้งยังมีริมฝีปากบวมเจ่อราวกับเชิญชวนผู้อื่นตลอดเวลานั่นอีกเล่า จะให้เขาแบ่งปันภาพอันเย้ายวนใจนี้กับผู้อื่นอย่างไร!
เจ้าหานตงหรือก็ช่างกล้าเสนอตัว!